post

3 รองเท้าวิ่งมาแรงแห่งปี 2020

ขึ้นชื่อว่ากีฬาวิ่ง สิ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้เลยก็คือรองเท้าวิ่ง เพราะรองเท้าวิ่งดีดีซักคู่จะช่วยให้ผู้สวมใส่มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะสามารถวิ่งออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และแม้ว่าปี 2020 จะเป็นปีของโรคติดต่อร้ายแรงที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ตื่นตัวต่อความสำคัญของการมีสุขภาพที่แข็งแรง และส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลกอย่าง COVID-19 แต่บริษัทผู้ผลิตรองเท้าก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นและผลิตรองเท้าวิ่งที่ดีมีคุณภาพมาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อหากันอย่างไม่ย่อท้อ เราไปดูกันดีกว่าว่า 3 รองเท้าวิ่งมาแรงแห่งปี 2020 ประกอบด้วยรองเท้าแบรนด์ใด รุ่นใดกันบ้าง

1. Adidas Ultraboost 20 รองเท้าวิ่งจากค่ายดังอย่าง Adidas มาพร้อมกับเทคโนโลยี Tailored Fiber Placement (TFP) ที่ช่วยให้การสวมใส่รองเท้ามีความกระชับมากยิ่งขึ้น เพิ่มความมีประสิทธิภาพในการช่วย Support เท้าด้วยเกราะอีลาสเตนที่เสริมมาให้ช่วงบริเวณส้นรองเท้าเพื่อช่วยให้สามารถรับแรงกดลดแรงกระแทกส่วนเท้าได้เป็นอย่างดี มาพร้อมดีไซน์สวยเท่แนวสปอร์ตด้วยผ้าถัก Primeknit และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คงจะเป็นแผ่นสัญลักษณ์บนลิ้นของรองเท้าซึ่งเป็นของห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ประจำสถานีอวกาศนานาชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีขึ้นรูปรองเท้าอย่าง Boost ซึ่งศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ทำให้ได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติแตกต่างและไม่เหมือนแบรนด์อื่นอย่างแน่นอน

2. Nike Zoom Pegasus Turbo 2 รองเท้าวิ่งจากค่าย Nike ที่โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเทคโนโลยี ZoomX ที่สามารถช่วยส่งคืนพลังงานจากการวิ่งกลับมาได้ หรือเรียกว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดปริมาณพลังงานที่ใช้ มีน้ำหนักเบา ช่วยในเรื่องของการดูดซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พื้นรองเท้าบริเวณด้านนอกยังทำจากยางที่สามารถช่วยเรื่องการยึดเกาะได้ดีในทุกสภาพพื้นผิว และด้วยความที่อัปเปอร์ด้านบนใช้ผ้าตาข่ายยิ่งส่งผลให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งทำให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวกอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติทั้งหลายที่กล่าวมาทำให้รองเท้าคู่นี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ใส่ได้ทั้งเดินทั่ว ๆ ไปในแต่ละวัน หรือใส่วิ่งทั้งระยะใกล้ ระยะไกล

3. BrooksGhost 12 รองเท้าวิ่งจากค่าย Brooks ที่ราคาไม่แรงแต่การันตีคุณภาพคับแก้วแน่นอน โดย BrooksGhost 12 เป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา และนุ่มเหมาะแก่การสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีนวัตกรรมที่เรียกว่าแผ่นโฟม DNA LOFT ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกันกระแทก และให้ความรู้สึกว่ามีสปริงอยู่ใต้เท้าทำให้ทุกย่างก้าวได้รับความรู้สึกว่าพื้นเท้าเด้งตอบสนองการเคลื่อนไหวได้ดี พื้นรองเท้าชั้นกลาง BioMoGo DNA ที่ถูกคิดค้นใส่เข้ามาเพื่อเอาไว้สำหรับช่วยรองรับการกระแทก อีกทั้งพื้นเท้าชั้นนอกยังมีความทนทานสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ลื่นล้มง่ายอย่างแน่นอนเนื่องจากมีพื้นรองเท้าที่ช่วยยึดเกาะติดพื้นได้ดีในทุกสภาพผิว นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี 3D Fit Print ที่การันตีได้ว่าการใส่รองเท้าวิ่งคู่นี้จะให้ความรู้สึกกระชับแต่ก็มีความยืดหยุ่นได้ในเวลาเดียวกัน

เรียกได้ว่าถึงแม้จะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม แต่บริษัทผู้พัฒนารองเท้าวิ่งหลากหลายค่ายก็ไม่เคยคิดหยุดนิ่งเพื่อให้คู่แข่งแซงหน้าไปได้ ยังคงมุ่งพัฒนารองเท้าวิ่งดีดีมาให้ผู้ที่ชื่นชอบการวิ่งเลือกสวมใส่กันตามต้องการ และถ้าหากตอนนี้ใครยังไม่มีรองเท้าวิ่งเป็นของตัวเอง นี่อาจจะเป็นโอกาสในวิกฤตที่จะเริ่มต้นหันกลับมาดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายด้วยการวิ่งกันอีกสักครั้ง

post

คุณรู้จักนวัตกรรมและเทคโนโลยีในรองเท้าวิ่งเหล่านี้หรือไม่

ปัจจุบันโลกการค้ามีการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในใจของลูกค้ากันค่อนข้างสูง และสิ่งที่จะทำให้ผู้ผลิตแต่ละเจ้าสามารถเอาชนะใจลูกค้าได้ ก็คือการคิดค้นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้สินค้าที่ตนผลิตนั้นมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการในตลาดมากกว่าสินค้าของคู่แข่ง ดังคำกล่าวที่สตีฟ จอบส์ เคยพูดเอาไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ว่าสิ่งที่จะทำให้สามารถแยกระหว่างผู้นำกับผู้ตามในโลกของธุรกิจได้ก็คือนวัตกรรมนั่นเอง

ซึ่งธุรกิจการผลิตรองเท้าวิ่งก็หนีไม่พ้นกลไกการตลาดนี้ และสำหรับเหล่านักวิ่งทั้งหลายที่จะยังไงเสียก็จำเป็นจะต้องซื้อรองเท้าวิ่งไว้ติดบ้านกันอยู่แล้ว คงจะดีไม่น้อยหากเรามีความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ถูกคิดค้นและใส่เข้ามาในรองเท้าวิ่งแต่ละแบรนด์ เพื่อที่เราจะได้มีความรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับคุณสมบัติของรองเท้าแต่ละรุ่น เพื่อให้สามารถเลือกซื้อรองเท้าวิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเองได้อย่างแท้จริง

นวัตกรรม เน็กซ์ เปอร์เซ็นต์ (NEXT% System)

หนึ่งในนวัตกรรมรองเท้าวิ่งของ Nike ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าสามารถช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถที่จะวิ่งได้เร็วขึ้น โดยนวัตกรรมนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งทำงานประสานกันส่งผลให้รองเท้าวิ่งที่ใช้นวัตกรรมนี้มีประสิทธิภาพสูง ได้แก่

  • แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณพื้นรองเท้าที่จะช่วยให้ความรู้สึกราบลื่นขณะเคลื่อนไหวเท้า อีกทั้งทำให้เกิดความสมดุลขณะออกวิ่งช่วยให้สามารถพุ่งทะยานออกไปได้อย่างรวดเร็วและมีความมั่นใจ
  • โครงสร้างโฟมซูมเอ็กซ์ ที่สามารถช่วยลดการสูญเสียพลังงานจากการวิ่งได้เป็นอย่างดี เพราะมีการส่งคืนพลังงานกลับคือให้แก่ผู้สวมใส่นั่นเอง นอกจากนี้ยังช่วยให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาง่ายต่อการสวมใส่มากยิ่งขึ้น
  • โครงสร้างไนกี้ซูมแอร์ เทคโนโลยีรองรับแรงที่เกิดจากการกระแทก ทำให้ช่วยไปเพิ่มในส่วนของการส่งคืนพลังงานกลับคืนไปยังผู้สวมใส่

นวัตกรรมบูสต์ (BOOST)

นวัตกรรมรองเท้าวิ่งของ Adidas ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นนวัตกรรมที่สำคัญซึ่งช่วยให้รองเท้าวิ่งในแต่ละรุ่นของ Adidas มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และเป็นนวัตกรรมแรก ๆ ที่ปฏิวัติวงการผลิตรองเท้าวิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยนวัตกรรมบูสต์ คือ การพัฒนานวัตกรรมแคปซูลพลังงานบริเวณพื้นรองเท้าส่วนกลาง ที่มีความสามารถในการช่วยคืนพลังงานที่เก็บไว้ให้แก่ผู้สวมใส่ เป็นการช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ว่ากันว่านวัตกรรมนี้ทำให้เกิดความยืดหยุ่นสูง และสามารถเก็บและคืนพลังงานกลับให้แก่ผู้ที่สวมใส่ได้มากถึง 85%  ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงความนุ่มสบายของรองเท้า และเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยี Tailored Fiber Placement (TFP) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการตัดเย็บและจัดวางโครงสร้างเส้นใยรองเท้าที่มีความถูกต้องแม่นยำในระดับมิลลิเมตรด้วยวัสดุไพรม์นิตด้วยแล้ว ยิ่งช่วยให้รองเท้ามีประสิทธิภาพสูงและมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ง่ายต่อการสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง ได้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างผู้วิ่งกับรองเท้าอย่างดีเยี่ยม

เป็นอย่างไรกันบ้างกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ได้นำมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านกัน จะเห็นได้ว่าอย่างไรเสียนวัตกรรมก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้สินค้ามีคุณภาพและมีประสิทธิภาพได้ดีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการทำความรู้จักกับนวัตกรรมเหล่านี้เอาไว้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็นสำหรับนักวิ่งมือใหม่มือเก่าอยู่ไม่น้อย

post

แนะนำรองเท้าสวยและดีที่เหมาะสำหรับนักวิ่งปี 2019

อย่างที่ทราบกันดีว่ากีฬาวิ่งนั้น แค่มีรองเท้าคู่ใจที่ดีและเหมาะสมกับรูปทรงเท้าของตนเองซักหนึ่งคู่ ก็สามารถที่จะออกกำลังกายได้ถึงไหนถึงกันแล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้การวิ่งกำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัย และแน่นอนว่าเมื่อความต้องการมีมาก ทางผู้ผลิตรองเท้าจากหลาย ๆ ยี่ห้อจึงมีสินค้ามากมายออกมาวางจำหน่ายให้เลือกซื้อหากันอย่างมากมาย มากจนบางที เพื่อน ๆ ที่เป็นนักวิ่งยังสับสนว่าควรซื้อยี่ห้อไหน รุ่นอะไรกันแน่ จึงจะดีและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ดังนั้นอย่ากระไรเลยวันนี้เรามีรองเท้าสวย ๆ ดี ๆ ที่เหมาะสำหรับใช้เป็นตัวเลือกให้แก่นักวิ่งทั้งหลายในปี 2019 มาฝากกัน ไปดูเลย…             

1. รองเท้า Adidas Solarboost Shoes เป็นรองเท้าที่เหมาะกับรูปเท้าของคนโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีรูปเท้าที่ค่อนข้างกว้างมากกว่าปกติ เพราะด้วยความที่ตัวรองเท้าด้านในไม่ได้มีพลาสติกเสริมเพิ่มเติมแต่อย่างไร ประกอบกับเนื้อผ้านด้านนอกที่ค่อนข้างกระชับ เป็นด้ายประเภท Parley ซึ่งเป็นพลาสติกจากทะเลที่ถูกนำมารีไซเคิล และออกแบบมาให้เหมาะกับรูปเท้า ส่งผลให้เท้าของผู้ที่สวมใส่จะไม่ถูกแรงกดทับหรือบีบรัดจนมากเกินไปนัก และด้วยความหนาของรองเท้าที่ไม่ได้หนาและหนักจนเกินไป ประกอบกับความยืดหยุ่นของพื้นรองเท้าด้วยแล้ว ส่งผลให้รองเท้าคู่นี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นรองเท้าอเนกประสงค์ที่สามารถใช้สวมใส่เพื่อวิ่งได้ทั้งระยะทางใกล้และไกล

2. รองเท้า Mizuno Wave Rider 20 หนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ “Mizuno” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้ากีฬาที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน และมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับได้ว่าดีสำหรับผู้ใช้งาน ดังนั้นในเรื่องของคุณภาพและความสวยงามจึงเชื่อถือได้อย่างแน่นอน โดยรองเท้าในรุ่นนี้นั้นก็ถูกพัฒนามาจนถึงรุ่นที่ 20 กันแล้ว ซึ่งต้องบอกเลยว่าครั้งนี้ทางผู้ผลิตเน้นในเรื่องของความใส่ใจ ตั้งใจให้ตัวรองเท้ามีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และมีระบบป้องกันการกระแทกที่อาจจะเกิดจากการวิ่งให้มีประสิทธิภาพสูงเพิ่มมากขึ้น โดยด้วยตัวดีไซน์ และเทคโนโลยีการผลิตต่าง ๆ ที่ใส่มาไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี New Cloudwave ที่ช่วยกันกระแทกได้เป็นอย่างดีให้กับเท้า เทคโนโลยีตาข่าย Triple Zone เพื่อการระบายอากาศที่ดีขึ้น หรือเทคโนโลยี Dynamotion Fit ที่ทำให้ตัวรองเท้ามีความยืดหยุ่นรับกับรูปเท้าขณะวิ่งมากขึ้น เป็นต้น ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าคุณภาพรองเท้าคู่นี้คุ้มค่าคุ้มราคาอย่างแน่นอน

3. รองเท้า ASICS HyperGEL-KENZEN อีกหนึ่งแบรนด์รองเท้าจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความใส่ใจในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยเอื้อประโยชน์และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ชาวโลกเพิ่มมากขึ้น โดยรองเท้ารุ่นนี้ของ ASICS มาพร้อมกับนวัตกรรมพิเศษอย่าง Hyper Gel ที่ใส่เพิ่มเติมเข้ามาในส่วนที่เป็นตัวรองเท้าตรงบริเวณ Midsole เพื่อช่วยในเรื่องของการรองรับรูปทรงและน้ำหนักเท้าที่ดีเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหว และการเคลื่อนตัวไปของเท้านั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติมากที่สุด เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ทาง ASICS ใส่คุณสมบัติตัวนี้เพิ่มเข้ามาให้กับผู้ใช้งาน นอกจากนี้การออกแบบรองเท้าคู่นี้ยังได้มีการเพิ่มการผสมผสานระหว่าง TPU และ Gel ที่มีคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทก และลดแรงเสียดทานที่อาจจะเกิดขึ้นขณะวิ่งได้ดี เพราะวัสดุเป็นรูปแบบฟองน้ำที่เหมาะสำหรับป้องกันการกระแทกได้ดีนั่นเอง ด้วยคุณสมบัติข้อนี้จึงทำให้ผู้ที่สวมใส่รองเท้าคู่นี้สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็วว่องไวขึ้นนั่นเอง

สุดท้ายนี้แม้ว่ารองเท้าดีจะทำให้เพื่อน ๆ สามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมใส่ใจในเรื่องของวิธีการวิ่งให้ถูกต้องถูกวิธีอีกด้วย ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมมากเกินไป เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่าอะไรที่มากเกินไปมักไม่ดี ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการออกกำลังกายก็เช่นกัน

post

Altra Paradigm 4.0 ที่สุดความหนาเพื่อซัพพอร์ตสายวิ่ง neutral

ค่ายรองเท้าวิ่ง Altra อาจจะไม่ดังเท่ากับคู่แข่งร่วมวงการแต่รองเท้าของ Altra เองก็ได้รับการพัฒนาให้ลงตลาดได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร ซึ่งตัวท็อปของค่ายนี้อย่าง Paradigm ก็ได้รับการจูนเครื่องใหม่เพื่อตอบโจทย์นักวิ่งได้อย่างสวยงาม

Altra Paradigm 4.0 อ่านว่า พา-รา-ดาม เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Paradigm 3.0 ที่เป็นแบบ High Drop มันถูกเลือกเซ็ตซีโร่ให้มีค่าดร็อปของรองเท้าอยู่ที่ 0 กลายเป็นว่ารองเท้ารุ่นนี้ถูกนำกลับสู่ความเป็นรองเท้าสำหรับนักวิ่งสาย Neutral เต็มตัว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ได้รับการเพิ่มให้มีพื้นรองเท้าหนามากยิ่งขึ้นจนไปหยุดอยู่ที่ 30 mm. ซึ่งธรรมดารองเท้าสายค่า Drop ต่ำจะไม่หนามาก แต่ Paradigm 4.0 ที่ทำตัวเองให้กลายเป็นรองเท้าของคนปกติเลือกความรู้สึกเด้งดึ๋งไว้ตอบโจทย์นักวิ่งสายนี้ที่กังวลว่าวิ่งแล้วไม่มีอะไรซัพพอร์ตให้ความนุ่มเท้า

แต่เพื่อให้ Paradigm 4.0 ยังรักษาคุณสมบัติของรองเท้าสาย Stability Shoes ทางค่าย Altra ก็จัดการเสริมสมดุลของรองเท้าเพื่อรับรองการวิ่งของคนเท้าแบนรุนแรงหรือเท้าล้มด้วยสองตัวช่วยทั้งเทคโนโลยี GuideRail และ Stabilipod ที่ทำให้แกนของรองเท้ามีความมั่นคงเวลาวิ่งมากขึ้น

ด้านการระบายอากาศของรองเท้าก็ทำออกมาดี ด้วยการใช้ผ้าแบบมีรูห่าง ทำให้ระบายอากาศและความร้อนได้เร็ว

หลังจาก Runner’s World ให้นักเทสต์ทำการทดสอบผลปรากฏว่า Paradigm 4.0 เก็บคะแนนความชอบใจเรื่องรับแรงกระแทกส้นเท้าไป 8.4/10 ส่วนคะแนนซัพพอร์ตฝ่าเท้าเกือบเต็ม 10 นับว่าเป็นรุ่นเดียวและค่ายเดียวของการทำ recommended ปี 2019 ที่ได้คะแนนใกล้เคียง 10 ที่สุดแล้ว

ผลการจำหน่ายในท้องตลาด Altra Paradigm 4.0 ถูกจำหน่ายไปด้วยโวลลุ่มที่น่าสนใจกล่าวคือมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้จะถูกติติงว่ามันดูเทอะทะไปบ้าง และค่อนข้างหนักสักนิดเมื่อเริ่มต้นวิ่งช่วง 4-6 กิโลเมตรแรก แต่เมื่อใช้วิ่งเป็นระยะทางสัก 10 กิโลเมตรหรือไกลกว่านั้นนักวิ่งจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเบาแรงมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่รู้สึกในทีแรก โดยเฉพาะในเรื่องของการรับแรงกระแทกและคืนแรงในระหว่างวิ่ง หรือแม้แต่การใช้สวมใส่เดินทั้งวันผลตอบรับของมันก็กลับมาเป็นเชิงบวก

Altra Paradigm 4.0 ออกจำหน่ายในราคา 4,700 กว่าบาทในเมืองไทย ถือเป็นราคาที่น่าจับต้องมาก โดยหากมองในแง่ที่ว่ามันสามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้อย่างสบายเท้าด้วย Paradigm 4.0 ก็เพิ่มฟังก์ชันสวมใส่เดินเที่ยวเล่นทั้งวันได้อีกตัวเลือกหนึ่งนอกเหนือไปจากใส่วิ่งระยะทางกลางๆ ถึงไกลๆ ซึ่งหลังใช้งานบางทีผู้สวมอาจจะต้องประหลาดใจกับประสิทธิภาพของมันอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

post

Adidas Ultra Boost 19 เมื่อความเร็วสำคัญกว่าแฟชั่น

สำหรับนักวิ่งแล้ว หนึ่งในยี่ห้อรองเท้าที่พวกเขาให้การยอมรับและเลือกใช้มากเบอร์ต้นๆ ก็คืออาดิดาส ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่ถูกผลิตออกมาและเป็นที่นิยมในกลุ่มนักวิ่งขาแรงก็คือ Boost Series ที่มี Ultra Boost เป็นตัวชูโรง และ Runner’s World ก็เลือกที่จะยก Ultra Boost 19 เป็นรองเท้าที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของในปี 2019

เดิมทีความนิยมใน Ultra Boost Series เองก็อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว แถมการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงรุ่นก่อนหน้าที่รุ่น 19 จะออกวางจำหน่ายก็เป็นส่วนผสมที่ดีระหว่างคุณภาพรองเท้าที่เหมาะสำหรับการวิ่ง และเรื่องของแฟชั่นวงการรองเท้า ทว่าเมื่อเริ่มลงมือพัฒนารุ่น Ultra Boost 19 ขึ้นมาจริงๆ ทีมงานของอาดิดาสเลือกที่จะขอความเห็นจากนักวิ่งมากกว่า 1,000 คนเพื่อสร้างช้อยส์ที่เป็นเป้าหมายของรุ่นที่จะพัฒนา แน่นอนว่าเมื่อเลือกให้นักวิ่งช่วยคิดมันจึงกลายเป็นรองเท้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อการวิ่งมากกว่าความสวยงาม

นักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลกให้ความช่วยเหลือและออกความเห็นจน Ultra Boost 19 เป็นรองเท้าที่เหลือโครงสร้างหลักเพียง 4 ชิ้นเทียบกับรุ่น 18 ซึ่งมีถึง 17 ชิ้นแล้วมันจึงเป็นรองเท้าที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างมาก โดยเฉพาะอัปเปอร์ที่เป็นผ้าถักชิ้นเดียวแบบไร้รอยต่อคลุมปลายเท้าไปจนถึงข้อเท้า ได้อารมณ์เหมือนสวมถุงเท้าอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อชิ้นส่วนของรองเท้าถูกเอาออกไปจนเหลือเท่าที่จำเป็น ตัวโฟมของ Ultra Boost 19 จึงสามารถเพิ่มความหนาขึ้นมาได้อีก 20% แต่มีน้ำหนักรวมท้ายที่สุดเท่ากับรุ่น 18 เท่านั้น ขณะที่ประสิทธิภาพในการคืนแรงเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก กลายเป็นรองเท้าที่นุ่มและรับน้ำหนักได้ดี

 นักวิ่งจำนวนหนึ่งที่ได้ทดสอบการใช้งานของ Ultra Boost 19 ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันหนึ่งเรื่องนั่นคือการที่มันขึ้นรูปอัปเปอร์ด้วยผ้า Primeknit 360 ที่ให้อารมณ์แบบสวมถุงเท้า แล้วมีเคสสำหรับร้อยเชือกยึดติดกับมิดโซลเอาไว้ ทำให้รองเท้ารุ่นนี้เหมือนไม่มีขอบรองเท้าที่ต้องใช้เวลาสักระยะหลังสวมใส่ให้เกิดการยึดขยายเข้ารูปเท้า พูดง่ายๆ ว่าเป็นรองเท้าที่ใส่แล้ววิ่งได้เลย เพราะธรรมดามักพูดกันว่ารองเท้าใหม่ควรใส่สักระยะให้มันขยายเข้ารูปเท้าเสียก่อน

ข้อโดนตำหนิของ Ultra Boost 19 ที่นักวิ่งต่างเทใจให้ในเรื่องที่มันตอบโจทย์ความต้องการของนักวิ่งไว้เกือบหมด ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่อาดิดาสน่าจะรู้อยู่แล้วคือ “มันไม่สวย” เลย นั่นเพราะอย่างที่เกริ่นว่าอาดิดาสเลือกถามความเห็นนักวิ่งเพื่อสร้างรองเท้ารุ่นที่นักวิ่งจะรัก เมื่อเป็นเช่นนี้ดูเหมือนมันจะไม่ถูกใจสายแฟชั่นเท่าไหร่นัก

ด้วยความที่เป็นรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับการวิ่งทั้งฮาล์ฟและมาราธอน ทำให้ราคาของ Ultra Boost 19 ที่วางจำหน่ายในราคา 7,300 บาทเรียกได้ว่าไม่ใช่น้อยๆ แต่ถ้าจะเลือกรองเท้าที่ใช้วิ่งได้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ Ultra Boost 19 น่าจะตอบโจทย์ได้ว่ามันเป็นรองเท้าที่ใช่

post

Hoka One One Bondi 6 รองเท้ารุ่นโคตรนิ่มแห่งปี 2019

รองเท้าวิ่งคือหนึ่งในอุปกรณ์วิ่งที่นักวิ่งให้ความสำคัญในการเลือกซื้อเลือกใช้มากที่สุด เพราะรองเท้าที่ดีนอกจากช่วยให้วิ่งได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดจากการวิ่งด้วย การเลือกรองเท้าที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยรับแรงกระแทกจากการวิ่งมากๆ จึงเป็นตัวเลือกที่นักวิ่งมองหา

โดยธรรมชาติแล้วการบาดเจ็บจากการวิ่งที่เกิดกับเท้าจะมีด้วยกัน 2 จุดหลักๆ คือ บริเวณฝ่าเท้าด้านหน้า (Forefoot) และส้นเท้า (Heel) ซึ่งขึ้นกับวิธีวิ่งของแต่ละคน ดังนั้นค่ายผู้ผลิตรองเท้าจึงแข่งขันกันขายคุณภาพในการรับแรงกระแทกทั้งสองจุดดังกล่าวบนผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ค่าย Hoka One One ค่ายรองเท้าจากฝรั่งเศสที่มาสร้างตัวเองในอเมริกาจับจุดเน้นความเป็น Maximalist มาขาย

ในรองเท้ารุ่น Bondi 6 ซึ่งทางนิตยสาร Runner’s World จับรองเท้าหลายรุ่นหลายค่ายไปทดสอบทั้งในห้องแล็บและวิ่งสนามจริงเพื่อให้คะแนนใน 3 เรื่องได้แก่ การรับแรงกระแทกของฝ่าเท้าด้านหน้า การรับแรงกระแทกของส้นเท้าและเรื่องความบิดโค้งในระหว่างวิ่ง จากนั้นทำการให้คะแนนเต็ม 10 ปรากฏว่า Bondi 6 มีคะแนนเรื่องการรับแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าด้านหน้าสูงถึง 8.2/10 การรับแรงกระแทกที่ส้นเท้า 9.4/10 และมีค่าความบิดโค้งของรองเท้าไม่ถึง 1/10

ตัวรองเท้านั้นค่อนข้างมีมิดโซลที่หนา ระยะดร็อปของรองเท้าผู้ชายมากถึง 1 ซม. น้ำหนักเกือบ 3 ขีดทำให้มันไม่หนักไปแต่ก็ไม่เบามากนัก ขณะที่รุ่นของผู้หญิงดร็อปก็ยังมากถึง 0.8 ซม. แต่ดีกว่าน้ำหนักรองเท้าผ่าน 2 ขีดมาเพียงเล็กน้อยซึ่งถือได้ว่าเบาเอาการ

 จากการทดสอบผลสรุปออกมาว่านักวิ่งที่ทำการเทสต์รองเท้ารุ่นนี้ต่างก็หลงรักมัน ไม่ว่าจะวิ่งบนลู่หรือวิ่งบนถนน พวกเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่านิ่มเหมือนวิ่งบนฟองน้ำ ซึ่งเมื่อมันรับแรงกระแทกได้ดีมันก็ส่งคืนพลังงานกลับสู่ขาและหัวเข่าได้มากขึ้น มันจึงเหมาะกับนักวิ่งที่กังวลใจเรื่องน้ำหนักและปัญหาการรับภาระของหัวเข่าและข้อเท้า

นอกจากนี้ในส่วนของการระบายอากาศ Hoka One One Bondi 6 ก็ทำออกมาได้ดี โดยถือว่าทำการพัฒนาจากจุดอ่อนในรุ่นก่อนหน้ามาเป็นรุ่นใหม่ที่ถูกใจนักวิ่งมากขึ้น

แต่มีคนชอบก็มีคนไม่ชอบเป็นธรรมดา เมื่อ Bondi 6 มีหลายเสียงบอกว่ามันค่อนข้างออกแบบมามีหน้ารองเท้าที่แคบ และความทนทานหลังจากการวิ่งไปนานๆ ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากหลายคนใช้วิ่งจริงแล้วส่วนของโฟนเอ้าท์โซลหลุดออกมาง่ายเกินไป

แม้จะมีข้อดีข้อเสียอยู่บ้างตามความจริงที่ว่าไม่มีอะไรเพอร์เฟ็ค แต่ Bondi 6 ก็เป็นรองเท้าที่ได้รับความชื่นชมจากนักวิ่งทดสอบจำนวนมาก เมื่อเอามันไปเทียบกับรองเท้าค่ายเดียวกันในรุ่น Bondi 5 หรือรองเท้าวิ่งรุ่นอื่นของ Hoka One One เอง

รองเท้าวิ่ง Hoka One One Bondi 6 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักวิ่งที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับหัวเข่า เพราะเป็นรองเท้าที่ค่อนข้างรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมทั้งส่วนของปลายเท้าและส้นเท้า นักวิ่งที่เลือกความนุ่นเบาสบายเวลาวิ่งน่าจะไม่ผิดหวัง 

post

ใหม่-สด-หมาด ๆ กลีเซอรีน 17 จากบรู๊ค

สาว ๆ ขาวิ่งจำนวนไม่น้อยอดที่จะห่อปากร้องอู้วให้กับกลีเซอรีน 16 ซีรี่ย์ กลีเซอรีนจากค่ายบรู๊คไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่รองเท้าสายวิ่ง แต่ยังเป็นผ้าใบคู่เก่งที่สามารถใส่ได้ทุกวัน แต่ถ้าได้สัมผัสกับกลีเซอรีน 17 คาดว่าจะยิ่งติดใจหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“มันให้ความรู้สึกอย่างกับเดินเหยียบหมอน” คำกล่าวของเทสเตอร์รายหนึ่งบรรยายถึงกลีเซอรีน 17 ไว้สั้น ๆ แต่เห็นภาพ เนื่องจากมันใช้มิดโซลแบบพิเศษของ Brooks DNA ที่ช่วยรองรับแรงกระแทก รองรับการลงน้ำหนักและรองรับสภาพผิวทางวิ่งที่หลากหลายแบบครอบคลุมไปหมด ซึ่งบรู๊คเคยอ้างอิงว่าร้องเท้ารุ่นอื่น ๆ ก็จะผลิตออกมารองรับผู้ใช้แบบเดียวตามรุ่นที่ผลิต แต่โฟม DNA ของบรู๊คจะตอบสนองต่อขนาดของแรงกระแทกในระดับที่ละเอียดอ่อนกว่า

บรู๊ค กลีเซอรีน 17 ได้เปลี่ยนอินโซลของรุ่นนี้เป็นออโธไลต์ที่มีอายุงานยาวนานกว่าแม้ว่าว่าจะใช้งานมากมันจะยังคงนุ่นเหมือนใหม่ และที่สำคัญมันถูกออกแบบให้คืนแรงในระหว่างวิ่งมากถึง 2 เท่าทำให้สามารถวิ่งได้ไกลขึ้นสำหรับสาว ๆ แม้แต่ในส่วนของขอบรองเท้าก็ถูกเพิ่มด้วยวัสดุหนาพิเศษที่นุ่มนิ่มและไม่เสียดสีข้อเท้าในเวลาวิ่ง

การออกแบบในเรื่องการรับแรงกระแทก บรู๊ค กลีเซอรีน 17 มีส้นรองเท้าที่ใช้เทคโนโลยี DNA Loft หนากว่ารุ่นก่อนหน้า แถมด้วยการเสริมวัสดุนิ่มพิเศษอย่าง BioMogo DMA เข้าไปตลอดความยาวรองเท้าทำให้มันนุ่นนิ่มมากขึ้น และการซอยปุ่มรับแรงกระแทกบนพื้นรองเท้าทำให้มันดูดซับแรงกระแทกได้ดี โดยเฉพาะการวิ่งลงไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบเสมอกันอย่างเช่นถนนกรวดหรือถนนปูหิน ที่สำคัญแม้แต่ในการวิ่งบนถนนเปียก ลื่นหรือจับน้ำแข็งก็ยังสามารถยึดเกาะได้ดีในระหว่างที่วิ่งอยู่ด้วย

ตัวอัปเปอร์ยังคงใช้เทคโนโลยีผ้าถักแบบตาข่าย โดยครั้งนี้มันมาในระบบสองชั้นแต่ยังสามารถถ่ายเทอากาศและความร้อนในระหว่างวิ่งได้ดี ทำให้มันมีความทนทานมากขึ้น และด้วยคุณสมบัติในการถ่ายเทอากาศที่ดีทำให้การวิ่งในวันที่อากาศร้อนกว่าปกติไม่สร้างความทรมานให้กับเท้ามากนัก

รูปลักษณ์ของกลีเซอรีน 17 ยังใกล้เคียงกับรุ่น 16 แต่การออกแบบมีลูกเล่นมากกว่าเล็กน้อย ในขณะที่รุ่น 16 ดูจะเรียบง่ายด้วยสไตล์สองสีนอกใน แต่รุ่น 17 จะเล่นกับการไล่ระดับสีและลวดลายตกแต่งผิวจากแบบตาข่ายหกเหลี่ยมจากพลาสติกโพลียูรีเทนที่ทำให้มันดูสะดุดตามากกว่า ซึ่งต้องบอกว่ามันดูดีกว่ารองเท้ากลีเซอรีนตั้งแต่รุ่น 15 ลงไปที่ถูกล้อเลียนว่าเป็นรถถัง

บรู๊ค กลีเซอรีน 17 เปิดโฉมหน้าให้เห็นไปเมื่อปลายเดือนที่แล้วในงานแสดงที่อเมริกา แต่จะวางจำหน่ายจริงต้องรอจนถึงเดือนมีนาคม และถูกคาดหมายว่าจะเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่งมาแรงสำหรับสาว ๆ ในปีนี้เสียด้วย

post

ยอดแบร์ฟุต Vibram ควรโดนจัด 2019

นักวิ่งจำนวนมากเริ่มกลับไปสู่วิธีการวิ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือการวิ่งลงน้ำหนักด้วยปลายเท้าหรือหน้าเท้าก่อนที่จะลงส้นเท้า ซึ่งการวิ่งแบบนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากการวิ่งเท้าเปล่า ซึ่งสวนทางกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอาไปพัฒนาร้องเท้าวิ่งให้สามารถรับแรงกระแทกที่ส้นเท้ามากขึ้น

การวิ่งเท้าเปล่า (Barefoot) เลยเป็นเหมือนการกลับไปสู่ตัวตนของมนุษย์ในวันที่การวิ่งยังไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเหมือนที่รองเท้าวิ่งสมัยใหม่มอบให้ การวิ่งแบบเท้าเปล่าเลยถูกเรียกอีกอย่างว่าเป็นพวก minimalist หรือน้อยที่สุด-ดีที่สุด

รองเท้าที่ใช้งานสำหรับนักวิ่งเท้าเปล่าจึงถูกพัฒนาขึ้นมาและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งสุดยอดของแบร์ฟุตที่ถูกหมายตาว่าจะเป็นที่นิยมสูงสุดในปี 2019 ทั้ง 4 สายวิ่งมีดังนี้

แบร์ฟุตสายถนน : Vibram FiveFingers V-Run Running Shoes

Vibram รุ่นนี้มาพร้อมพื้นรองแรงกระแทกความหนา 8 มิลลิเมตรที่ช่วยป้องกันฝ่าเท้าจากการวิ่งบนถนนและทางราบทั่วไปดีขึ้น อัปเปอร์ของมันทำงานใยผ้าตาข่ายโพลีเอสเตอร์ที่ช่วยให้เท้าของนักวิ่งสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายและแห้งอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญการออกแบบยังทำให้ไม่รู้สึกแตกต่างไปจากการวิ่งด้วยเท้าเปล่าเพราะการสัมผัสของหน้าเท้ากับพื้นยังเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม

แบร์ฟุตสายครอสคันทรี่ : Vibram FiveFingers Men’s KSO EVO Cross Training Shoes

Vibram รุ่นนี้มาแบบล้น ๆ ความคุ้มค่า ทั้งเรื่องใส่สบาย คล่องตัว ราคาน่ารักและประสิทธิภาพใช้งานเยี่ยม เป็นรุ่นที่มีความยืดหยุ่นสูงสามารถใช้บนพื้นถนนทั่วไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นเส้นทางแบบครอสคันทรี่ที่ต้องการการรักษาบาลานซ์ร่างกายมากกว่ามันช่วยให้สัมผัสถึงพื้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าได้ดีกว่า รวมไปถึงการที่โฟม KSO EVO ช่วยป้องกันภัยจากเศษซาก เศษหินแหลมและกิ่งไม้แห้งได้ดีทำให้คุณสามารถวิ่งได้อย่างมั่นใจ

แบร์ฟุตสายเทรล : Vibram FiveFingers Men’s V-trail Runner

รุ่นนี้นำเสนอทุกความต้องการของสายเทรล มันตอบสนองต่อการปีนป่ายไปบนก้อนหินและเศษสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยการเพิ่มความหนาของพื้นรองเท้ามากสุดเท่าที่ยังรู้สึกสัมผัสได้ว่าเหมือนการเดินเท้าเปล่า ซึ่งทำให้มีปุ่มป้องกันฝ่าเท้าสัมผัสพื้นโดยตรงกระจายอยู่เต็มตั้งแต่ส้นเท้าถึงปลายเท้า

แบร์ฟุตสายไฮกิ้ง : Vibram FiveFingers Trek Ascent

ขาแรงเดินป่าต้องไม่พลาดตัวนี้ เมื่อ Vibram Trek Ascent มาพร้อมยาง EVA หนา 4 มิลลิเมตรที่ให้ทั้งน้ำหนักเบา กันกระแทกและรับดูดซับแรงสะเทือนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในส่วนเอ้าท์โซลและอัปเปอร์ที่แนบสนิทกับตัวเท้าอย่างมิดชิด ยังช่วงให้มั่นใจว่าจะไม่มีก้อนกรวดหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในรองเท้าอีกด้วย

post

ของดีสายถนน 2018 : Brooks Ghost 11

รองเท้าวิ่งก็เหมือนอาวุธประจำกายของนักวิ่ง การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับการใช้งานจึงถือว่าเป็นหัวใจอย่างหนึ่งที่นักวิ่งต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะการที่รองเท้าสำหรับวิ่งบนพื้นเรียบมีหลากหลายยี่ห้อและหลากหลายรุ่น การเลือกรองเท้าหนึ่งคู่ควรตัดสินใจให้ดี

ในปี 2018 ที่ผ่านมา บรรดากองบรรณาธิการ นิตยสาร Runner’s World เก็บรองเท้ายี่ห้อ Brooks ในรุ่น Ghost เข้าลิสต์รายชื่อรองเท้าที่ดีสำหรับวิ่งทางเรียบไว้ถึง 7 อันดับ แต่เมื่อคัดเลือกเพียงหนึ่งเดียว Brooks Ghost 11 เป็นรองเท้าที่เห็นตรงกันว่าควรได้รางวัล Editor’s Choice เนื่องจากมันตอบโจทย์นักวิ่งทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่

ตอนที่ Brooks ส่งรุ่น Ghost ออกมาสู่สายตาเหล่านักวิ่ง ทุกคนก็ค่อนข้างมองว่ามันดีพอเพียงอยู่แล้ว แต่ Ghost รุ่นก่อนหน้าเวอร์ชั่น 11 ก็ยังไม่ทำให้บริษัทพึงพอใจ พวกเขากลับไปปรับปรุงเพิ่มจนได้รุ่นที่ 11 ออกมา

Midsole รุ่น Ghost 11 ถูกปรับปรุงให้มีความเบามากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่เสียความนุ่มหรือคุณสมบัติเด้งตัว โดยใช้โฟมที่เรียกว่า “DNA Loft” ซึ่งใช้ครั้งแรกในรุ่น Glycerin 16 แทนของเก่า โฟมตัวนี้ทำให้นักวิ่งสามารถวิ่งได้อย่างมั่นคงขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลต่อน้ำหนักรองเท้า แต่นักวิ่งทดสอบหลายคนก็มองว่ารู้สึกไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ

Better Shock Absorption ในส่วนของความรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนขณะวิ่ง เทสเตอร์ลงความเห็นสอดคล้องกันว่ามันมีประสิทธิภาพขึ้น จังหวะการลงเท้าจนถึงการถีบเท้าสืบตัวออกไปค่อนข้างไหลลื่น โดยเฉพาะการลงน้ำหนักของส้นเท้าให้ความรู้สึกนุ่มกว่า แม้จะไม่ทำให้เห็นผลในการวิ่งเร็วขึ้น แต่นักทดสอบบอกว่ามันช่วยให้วิ่งในระยะทางไกลได้มากขึ้น

Outsole พื้นรองเท้าด้านล่างของ Ghost 11 มีร่องลึกจำนวนมาก ทำให้มันสามารถที่จะวิ่งในสภาพผิวเปียกน้ำโดยไม่ลื่นได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกับพื้นร้องเท้าถูกออกแบบมาให้วิ่งบนสภาพถนนทั่วไปได้หมด แม้แต่ในการใช้วิ่งเทรล ร่องที่กว้างก็ช่วยให้วิ่งผ่านเลน หญ้าเปียกหรือกรวดได้อย่างมั่นคง

Upper ตัวรองเท้าได้รับการออกแบบมาให้กระชับกับหลังเท้ามากขึ้น ปลายรองเท้าโก่งหนาช่วยให้มีช่องว่างสำหรับการขยับเท้าได้ในเวลาต้องการ แต่การที่ถูกออกแบบใหม่เพื่อใช้งานมัลติฟังก์ชั่นทำให้ส่วนที่เป็นผ้าถักรูตาข่ายลดน้อยลงไปจากรุ่น 10 มันจึงมีความสามารถในการระบายอากาศลดน้อยลง

Brooks Ghost 11 แม้จะได้รับทั้งคำชื่นชมและข้อตำหนิจากเหล่านักเทสต์ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านความเห็นร่วมว่าเป็นรองเท้าที่กองบรรณาธิการของ Running’s World ยกให้เป็นรองเท้าสายถนนที่พวกเขาอยากให้ใช้

post

ที่สุดสายสปีด 2018 : Reebok Floatride Run Fast

การเลือกรองเท้าให้เข้ากับสไตล์การวิ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้วิ่งได้ดีขึ้น ยิ่งสำหรับนักวิ่งสายทำความเร็วแล้ว การมีรองเท้าที่เหมาะแก่การสับสปีดยาว ๆ เป็นเหมือนมีอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการวิ่งระยะยาวได้

ในปี 2018 ที่ผ่านมา นิตยสาร Runner’s World ไม่พลาดที่จะคัดเลือกรองเท้าวิ่งสายเน้นทำความเร็วว่ายี่ห้อและรุ่นไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งรางวัลยอดเยี่ยมเหมาะสมกับราคาเป็นของ Reebok Floatride Run Fast Pro แม้ว่าจำนวนของ Nike Vapor Fly 4% ที่ขายในตลาดจะขายได้มากกว่า แต่ด้วยคุณสมบัติบวกราคานิตยสารจัดให้ Run Fast Pro เฉือนไปแบบนิด ๆ

งานนี้รีบ็อคเลือกใช้วัสดุเป็นเม็ดเทอร์โมพลาสติกอย่างเบาที่เรียกว่า Pebax แบบเดียวกันกับ Vapor Fly 4% ซึ่งมีคุณสมบัติเบากว่าโฟมพื้นฐานที่ใช้ทำรองเท้าวิ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แถมยังรับการกระแทกได้ดีขึ้น รวมไปถึงการลดทอนการเสียพลังงานในขณะวิ่งได้ดีกว่าด้วย แม้ว่าความหนาของโฟมรองเท้าจะไม่ได้มากกว่ารองเท้าวิ่งทั่วไป แต่ก็มีความทนทานมากกว่ารองเท้าที่ทำมาเพื่อนักวิ่งเร็วประเภทลู่โดยเฉพาะ

Midsole ตัวพื้นรองรับเท้าของรุ่น Floatride Run Fast Pro ค่อนข้างจัดว่าบาง แต่ก็เสริมทั้งในส่วนของ Drop รองอุ้งเท้าให้สูงขึ้นเพื่อกระชับอุ้งเท้ามากกว่า ขณะเดียวกันก็เสริมขอบด้วยโฟม EVA Rim เพื่อให้มันคงรูปได้ดีเป็นพิเศษและล็อคเท้าให้อยู่ในจุดที่ควรอยู่คือบน Floatride Foam

Outsole พื้นรองเท้าด้านล่างสุดทำด้วยยางเบาแบบปรุ ถูกทดสอบกับหลายสภาพผิวถนนว่าทำความเร็วได้สูง ขอบด้านนอกและส้นเท้าถูกเสริมหนาพิเศษเพื่อให้รองเท้ามีความทนทานมากขึ้นเมื่อเอามารวมกับในส่วนของตัวรับแรงกระแทก ในการวิ่งจะรู้สึกเหมือนเด้งแบบมีสปริง

Upper ตัวรองเท้าเป็นผ้าถักทอไร้ตะเข็บแบบตาข่ายระบายอากาศจำนวนมาก ปลายรองเท้าแคบ ดูเป็นรองเท้าที่ค่อนข้างเพรียวแต่ไม่คับ ตัวผ้าตาข่ายอัปเปอร์บางเบาและยืดหยุ่นทำให้สามารถขยับนิ้วได้สะดวก นอกจากนี้มันยังมีลิ้นรองเท้าที่ทำให้เท้านักวิ่งยึดติดกับศูนย์กลาง ข้อดีอีกอย่างของ Floatride Run Fast คือการที่มันไม่อมน้ำมากนัก ทำให้ความรู้สึกว่ารองเท้าหนักในวันที่ฝนตกหรือเปียกน้ำลดลงไป

Reebok Floatride Run Fast Pro ได้รับคำแนะนำจากนักรีวิวว่าเหมาะอย่างยิ่งในการสวมใส่สำหรับวิ่งฮาล์ฟ มาราธอนและฟูล มาราธอน ด้วยความที่มันมีน้ำหนักเบาแค่ราว 200 กรัม มีเทคโนโลยีลดแรงกระแทกและตัววัสดุพื้นช่วยเสริมแรงเด้งในจังหวะเปลี่ยนสเต็ป ใส่ไว้นานก็สบายเท้าเพราะไม่เก็บความร้อน ที่สำคัญราคาถูกกว่า Nike Vapor Fly 4% ที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกันถึง 60-70%