post

รู้จักกับ “บอสตัน มาราธอน” รายการวิ่งที่ต้องถูกยกเลิกในรอบ 124 ปี เพราะผลกระทบจากโควิด-19

เชื่อเหลือเกินว่าปี ค.ศ.2020 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้อย่างไม่ลืมเลือนว่าเป็นปีที่มนุษยชาติได้ถูกทดสอบอีกครั้งจากธรรมชาติ ด้วยการก่อกำเนิดขึ้นของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) จากประเทศจีน ซึ่งสามารถติดต่อผ่านกันได้จากคนสู่คน ก่อให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อลุกลามใหญ่โตไปทั่วโลก ส่งผลให้ต้องมีการปิดประเทศ ปิดการเดินทางเข้าออกระหว่างแต่ละประเทศทั่วโลก และส่งให้ผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก เนื่องจากปัจจุบันในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2020 ยังไม่มีประเทศใดออกมายืนยันว่าสามารถคิดค้นวัคซีนหรือยาที่ใช้รักษาโรคนี้ได้ ทำให้ปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่า New Normal ที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ต้องใส่ Mask ต้องล้างมือให้สะอาดอาจจะยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง

เรียกได้ว่าวิกฤตการณ์นี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในทุก ๆ วงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬา อย่างการจัดงาน บอสตัน มาราธอน (Boston Marathon) หนึ่งในงานมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็น 1 ใน 6 งานวิ่งมาราธอนที่คนชอบวิ่งอยากไปเข้าร่วมด้วยมากที่สุด ซึ่งอีก 5 เมืองที่ใช้ในการจัดงานวิ่งมาราธอนดังกล่าว ประกอบด้วย โตเกียว (เดือนกุมภาพันธ์) นิวยอร์ค (พฤศจิกายน) ชิคาโก (ตุลาคม) เบอร์ลิน (กันยายน) และลอนดอน (เมษายน)

ทำความรู้จักกับบอสตัน มาราธอน

รายการแข่งขันวิ่งมาราธอนชื่อดังอย่าง บอสตัน มาราธอน จะถูกจัดขึ้นทุกปีในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปกติแล้วจะจัดขึ้นทุกวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับวัน Patriots (วันผู้รักชาติ) รายการนี้เป็นรายการวิ่งมาราธอนที่ถือได้ว่าเก่าแก่และดีที่สุดงานหนึ่งของโลก โดยงานวิ่งมาราธอนนี้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 1897 เส้นทางการวิ่งคือเส้นทางพื้นราบสลับเนินเขาตั้งแต่แถบตะวันออกของรัฐแมสซาชูเซตทอดยาวไปจนถึงเมืองบอสตันเป็นระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร

ซึ่งนักวิ่งที่จะสามารถเข้าร่วมรายการแข่งขันนี้ได้จะต้องลงแข่งขันรายการอื่นที่ได้รับการรับรองและผ่านการคัดเลือกมาก่อน โดยทำเวลาได้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น เงินรางวัลสำหรับผู้ชนะไม่ว่าจะเป็นประเภทชายหรือหญิงจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 เหรียญสหรัฐ โดยในแต่ละปีจะมีผู้เข้าร่วมแข่งขันกว่า 27,000 คน

แน่นอนว่าในสถานการณ์ที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่รายการแข่งขันนี้จะถูกจัดขึ้น ดังนั้นผู้จัดงานจึงได้ประกาศยกเลิกการจัดการแข่งขันวิ่ง บอสตัน มาราธอน แม้ว่าจะเคยมีความพยายามในการจัดงานโดยการเลื่อนการแข่งขันออกไปเป็นวันที่ 14 กันยายนแล้วก็ตาม แต่การแพร่ระบาดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นี่จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบ 124 ปี ที่รายการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับตำนานนี้ไม่ถูกจัดขึ้น

อย่างไรก็ตามเชื่อเหลือเกินว่าในอนาคตหากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หยุดลง หรือมีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์จากประเทศใดประเทศหนึ่งทั่วโลกสามารถคิดค้นยารักษา หรือวัคซีนสำหรับใช้จัดการกับเจ้าไวรัสชนิดนี้ลงได้ เมื่อนั้นก็คงไม่สายที่จะกลับมาจัดการแข่งขันกีฬาวิ่งมาราธอนรายการดีดีนี้อีกครั้ง เพราะจะอย่างไรเสียมนุษยชาติก็คงจะยังไม่หยุดวิ่งเป็นแน่แท้

post

สวิทเซอร์ ผู้เปลี่ยนแปลงบอสตันมาราธอนสู่ความเท่าเทียม

บอสตัน มาราธอน หนึ่งในหกมาราธอนใหญ่ของโลก ได้ก่อให้เกิดตำนานนักวิ่งหญิงขึ้นมาหลายคน แต่คนที่ต้องถูกจดจำมากที่สุดเพราะเป็นผู้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ต้องเป็น “แคทรีน สวิทเซอร์”

ย้อนไปในวันที่ 5 มกราคม 1947 หนูน้อยแคธี่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองอัมเบิร์ก เยอรมนี ที่ซึ่งพ่อแม่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้กองทัพสหรัฐประจำฐานทัพที่ยุโรป สองปีต่อมาจึงได้เดินทางกลับมายังอเมริกา ใช้ชีวิตตามลำดับจนเข้าเรียนที่ซีราคิวส์ ยูนิเวอร์ซิตี้ในปี 1967 ซึ่งขณะนั้นบอสตัน มาราธอนเป็นการแข่งขันมาราธอนที่ฝ่ายจัดยังไม่อนุญาตให้นักวิ่งหญิงลงทำการแข่งขัน

หนึ่งปีก่อนหน้านั้น บอสตัน มาราธอนมีนักวิ่งหญิงแอบลงทำการวิ่งท่ามกลางหมู่นักกีฬาชาย เธอชื่อบ็อบบี้ กิ๊บบ์ แต่ในปี 1967 สวิทเซอร์ลงทำการแข่งขันแบบมีบิบหมายเลขติดบนตัว บิบหมายเลข 261 เกิดจากการสมัครลงวิ่งในสังกัดซีราคิวส์ แฮร์เรียส แอทเลติก คลับ หรือชมรมนักกีฬาของสถาบันที่สวิทเซอร์เรียนอยู่ในขณะนั้น การกรอกใบสมัครของเธอระบุว่าเพศเป็นกลางโดยใช้ชื่อย่อว่า K.V. Switzer นอกจากจะผ่านขั้นตอนการตรวจใบสมัครแล้ว ในการตรวจตราของวันงานที่เกิดกว่าการดูแลทั่วถึงทำให้สวิทเซอร์หลุดรอดสายตาฝ่ายจัดการแข่งขันจนกระทั่งเธอเริ่มออกวิ่ง

จ็อค เซมเปิ้ล ช่างภาพของฝ่ายจัดการแข่งขันเป็นคนที่สังเกตเห็นเธอ  เขาพยายามพุ่งตัวเข้าไปคว้าแคทรีนเพื่อจะเอาบิบออกจากตัวเธอให้ได้ ในขณะที่ปากก็ตะโกนว่า “เอานังปิศาจนั้นออกไปจากการแข่งขันของฉัน แล้วเอาเบอร์นั่นมาเดี๋ยวนี้” แต่ทอม มิลเล่อร์ นักอเมริกันฟุตบอลและนักขว้างค้อนที่ลงวิ่งมาข้างแฟนสาวของตัวเองคว้าตัวเซมเปิ้ลแล้วเหวี่ยงไปบนฟุตบาทได้

แคทรีน สวิทเซอร์วิ่งจนจบการแข่งขันของบอสตัน มาราธอนด้วยเวลา 3 ชั่วโมง 7 นาที 29 วินาที เป็นลำดับที่ 59 จากทั้งหมด และมันทำให้สมาคมนักกีฬาสมัครเล่นของอเมริกาและสมาคมนักกีฬาของบอสตันไม่พอใจ พวกเขาสั่งห้ามผู้หญิงลงแข่งขันมาราธอนทุกรายการร่วมกับนักวิ่งชาย

“ผู้หญิงจะมาวิ่งในมาราธอนไม่ได้เพราะกฏมันห้ามไว้ ถ้าไม่มีกฏสังคมมันต้องวุ่นวายแน่ ผมไม่ได้ออกกฏแต่ผมพยายามรักษามัน เราไม่มีที่ว่างในมาราธอนสำหรับคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่ง ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวผม ผมจะฟาดเข้าให้” วิล โคลนี่ย์ ผู้อำนวยการของบอสตัน มาราธอนในตอนนั้นกล่าวถึงเรื่องนี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น การรณรงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่เท่าเทียมกันโดยสวิทเซอร์และนักวิ่งหญิงคนอื่นก็เริ่มขึ้น จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา การแข่งขันบอสตัน มาราธอนก็ดำเนินการแก้ไขกฏให้นักกีฬาหญิงสามารถลงแข่งขันบอสตัน มาราธอนได้อย่างเป็นทางการ

“ฉันรู้ว่าถ้าฉันโดยเอาออกจากการแข่ง จะไม่มีใครเชื่อว่าผู้หญิงวิ่ง 26 ไมล์กว่าได้ ถ้าฉันออก ทุกคนจะพูดว่าก็แค่มาวิ่งโชว์ตัว ถ้าฉันเลิกวิ่ง โลกของนักกีฬาผู้หญิงจะดันถอยหลังแทนที่จะพุ่งไปข้างหน้า ถ้าเลิกฉันจะไม่มีโอกาสวิ่งบอสตันอีก จ็อค เซมเปิ้ลและคนแบบเขาก็จะชนะ ความกลัวและความอัปยศนั้นกลายเป็นพลังความโกรธของฉัน” แคทรีนเล่าถึงสิ่งที่เธอคิดในวันนั้น

ห้าสิบเอ็ดปีต่อมาที่บอสตัน มาราธอน จำนวนผู้สมัครวิ่งหญิงมีถึง 13,000 คน เทียบกับวันที่เธอเป็นนักวิ่งหญิงเพียงคนเดียวมันต่างกันราวฟ้ากับเหว

แคทรีน สวิทเซอร์ได้รับยกย่องจากนิตยสารรันเนอร์ เวิร์ลด์ให้เป็นนักวิ่งหญิงแห่งทศวรรษ (1967-1977) ในปี 2013 ที่เธอกลับไปเข้าร่วมงานวิ่งที่บอสตัน มาราธอน เธอเล่าแบบติดตลกว่าไหล่ของเธอเปียกไปหมดเพราะผู้หญิงมากมายที่เข้ามากอดและร้องไห้ด้วยความยินดี สิ่งที่แคทรีนทำได้เปลี่ยนโลกของผู้หญิง พวกเธอทำให้โลกเห็นว่าทำอะไรได้บ้าง รวมไปถึงสิ่งที่ยากอย่างการวิ่งมาราธอน