post

3 สวนสาธารณะในกรุงเทพที่คนชอบวิ่งไม่ควรพลาด

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย และสามารถทำได้ในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือช่วงเวลาเย็น ๆ หลังเลิกงาน หรือหากใครต้องการการวิ่งที่ไม่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลามากมายอะไรนักก็อาจจะเก็บเอาไว้วิ่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ย่อมทำได้ จะวิ่งบนลู่หรือจะออกไปสูดอากาศที่โล่งก็สามารถทำได้ง่าย แต่สำหรับในเมืองหลวงที่ผู้คนพลุกพล่านและมีมลภาวะทางอากาศค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพมหานคร การจะหาสถานที่สำหรับเอาไว้วิ่งชิล ๆ กลางแจ้ง นอกจากลู่วิ่งตามมหาวิทยาลัยหรือศูนย์กีฬาต่าง ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างสวนสาธารณะ ซึ่งบทความนี้จะนำเอา 3 สวนสาธารณะในกรุงเทพที่คนชอบวิ่งไม่ควรพลาดมาฝากกัน ไปดูกันได้เลย

1.สวนลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนพระราม 4 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน เป็นสวนสาธารณะที่เรียกได้ว่าอยู่ใจกลางกรุงแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสำหรับผู้คนหลากหลายมาพักผ่อนหย่อนใจ มาออกกำลังกาย มาวิ่ง ที่นี่มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายไว้คอยให้ความผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการพายเรือคายัค ปั่นเป็ด สระว่ายน้ำ ห้องสมุด กลุ่มออกกำลังกายต่าง ๆ เช่น การรำไทเก๊ก การเต้นแอโรบิค เป็นต้น การเดินทางมาที่นี่ก็แสนจะสะดวกง่ายดายเพราะว่ามีที่ตั้งอยู่ใกล้กับขนส่งสาธารณะอย่าง MRT และ BTS โดยที่นี่เปิดให้เข้าใช้บริการตั้งแต่เวลา 04.00 น. ถึง 21.00 น. ระยะทางที่สามารถวิ่งได้รอบสวนสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร

2.สวนหลวง ร.9 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงหนองบอน เขตประเวศ จัดเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ โดยมีเนื้อที่กว่า 500 ไร่ รับรองว่านักวิ่งคนไหนที่ชอบธรรมชาติ ชอบชื่นชมทัศนียภาพของต้นไม้ดอกไม้ต้องไม่ควรพลาด เพราะที่นี่จะมีการจัดแสดงพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ทั้งของไทยของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน หรือประเทศทางแถบยุโรปเอาไว้ทั่วทั้งสวนสาธารณะ แถมที่นี่ยังเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นที่ฝึกซ้อมวิ่ง Fun Run และแวะพักเพื่อลุ้นผลกีฬาบนแอป Fun88 Sport โดยหากวิ่งรอบสวนสาธารณะจะได้ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรพอดี โดยที่นี่เปิดให้เข้าใช้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 น. ถึง 19.00 น.

3.สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร มีเนื้อที่ประมาณ 375 ไร่ ภายในประกอบไปด้วยสวนต่าง ๆ อาทิ สวนพิพิธภัณฑ์รถไฟ สวนสมุนไพร สวนพฤกษศาสตร์ สวนพุทธศาสนา ลานกีฬา เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวกรุงเทพ ที่นี่สามารถที่จะเช่าจักรยานปั่นกันได้ และเหมาะสำหรับนักวิ่งที่ต้องการวิ่งท่ามกลางบรรยากาศต้นไม้และอากาศบริสุทธิ์ 2 ข้างทางเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่เปิดให้เข้าใช้บริการตั้งแต่เวลา 04.30 น. ถึง 21.00 น. ระยะทางที่สามารถวิ่งได้รอบสวนสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร

นอกจากสวนสาธารณะดังกล่าวที่แนะนำกันแล้ว ภายในกรุงเทพมหานครก็ยังมีสวนสาธารณะอื่น ๆ ที่สามารถใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายและซ้อมวิ่งได้ ไว้คราวหน้าจะนำเอามาสวนสาธารณะแห่งไหนมาแนะนำให้ท่านผู้อ่านทุกคนเพิ่มเติม ต้องคอยติดตามกันให้ดีดี

post

3 ประเภทการวิ่งที่บอกเลยว่าน่าสนุกตื่นเต้นเร้าใจมาก

“กีฬาวิ่ง” เป็นกีฬาที่สามารถทำได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง เป็นกีฬาที่มีเพียงแค่รองเท้าวิ่งก็สามารถที่จะพาตัวเองออกไปโลดแล่นให้เสียเหงื่อเพื่อเป็นการออกกำลังกายให้มีสุขภาพที่ดีกันได้แล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าชนิดและประเภทของการวิ่งก็มีด้วยกันหลายหลายรูปแบบ ซึ่งประเภทการวิ่งที่จะนำมาแนะนำกันในบทความนี้บอกเลยว่าน่าสนุกตื่นเต้นเร้าใจสำหรับนักวิ่งที่รักธรรมชาติและการผจญภัยอย่างแน่นอน

1.Trail Running เป็นประเภทหนึ่งของกีฬาวิ่งที่ได้รับความนิยมจากนักวิ่งสายลุยเป็นอย่างมาก เพราะการวิ่งประเภทนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการวิ่งและการ hiking ไปตามป่าตามเขา ระยะทางวิ่งตั้งแต่ 15 – 100 กิโลเมตร ดังนั้นนักวิ่งที่รักธรรมชาติจะต้องถูกใจสิ่งนี้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดธรรมชาติแล้ว ยังมีโอกาสได้รับความตื่นตาตื่นใจกับสนามแต่ละสนามที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรายการวิ่งในแต่ละครั้งอีกด้วย เรียกได้ว่าหากนักวิ่งคนไหนสนใจวิ่งไปด้วยสูดอากาศบริสุทธิ์ไปด้วย อีกทั้งยังได้ความรู้สึกของการผจญภัยสมัยเด็ก ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ ต้องห้ามพลาดการวิ่งประเภทนี้ด้วยประการทั้งปวง

2.Cross Country เป็นการวิ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับการวิ่งแบบ Trail Running คือเป็นไปตามป่าเขาลำเนาไพรเช่นเดียวกัน จะต่างกันก็ตรงที่ระยะทางวิบากที่ใช้วิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 4 – 12 กิโลเมตรเท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วรายการวิ่งประเภทนี้จะถูกจัดขึ้นในฤดูฝนหรือฤดูหนาวซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการวิ่งประเภทนี้จึงรับประกันความลุยและความเลอะให้กับนั่งวิ่งที่เข้าร่วมได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย บางรายการที่ถูกจัดขึ้นนั้น เส้นทางที่จัดไว้ให้อาจจะมีด้วยกันหลายสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าโล่ง ป่าทึบ เนินเขา ลำธาร แอ่งโคลน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่านักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันก็สามารถร่วมแข่งได้ทั้งแบบเดียวและแบบทีม เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งประเภทการวิ่งที่น่าสนุก และน่าลองอยู่ไม่ใช่น้อย

3.Spartan เป็นการวิ่งผ่านด่านอุปสรรค หรือที่เรียกกันว่าวิ่งวิบากเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร โดยการวิ่งประเภทนี้นั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักวิ่งที่เป็นสายชอบการผจญภัยตัวยง เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายหรือต้องการทดสอบพละกำลังทั้งกายและใจของตัวเอง เพราะนอกจากการวิ่งแล้วนั้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีการคลาน หมอบ ลาก ดึง ป่ายปีนไปตามอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นด่านอุปสรรคที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นเนินเขา ลวดหนาม สะพานเชือก ลุยน้ำ กระโดดข้ามกองไฟ ไต่กำแพง เป็นต้น เรียกได้ว่าถูกใจสายลุยอย่างแน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับประเภทการวิ่งที่ทั้งน่าสนุกตื่นเต้น และเร้าใจที่นำมาฝากกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะถูกใจนักวิ่งสายลุยทั้งหลายไม่มากก็น้อย แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะชอบการผจญภัยหรือชอบความท้าทายขนาดไหน ก็อย่าลืมว่าความปลอดภัยควรมาเป็นอันดับหนึ่ง

post

“ไตรกีฬา” กีฬาสุดท้าทายที่คนชอบว่ายปั่นวิ่งไม่ควรพลาด

หากใครที่เข้าสู่วงการวิ่งมาซักระยะหนึ่งแล้ว หรืออาจจะถึงจุดอิ่มตัวกับรายการแข่งขันวิ่งมาราธอนต่าง ๆ กันมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Fun Run / Micro Marathon Mini Maraton Half Maraton Full Maraton หรือ Ultra Maraton และอาจจะกำลังมองหากีฬาชนิดอื่น ๆ ที่จะสามารถเพิ่มความท้าทายและสร้างรสชาติชีวิตใหม่ ๆ ให้กับตนเองได้เพิ่มมากขึ้น กีฬาที่อยากจะแนะนำและคิดว่าตอบโจทย์ดังกล่าวที่ว่ามานี้ได้อย่างดีเยี่ยมคงจะหนีไม่พ้น “ไตรกีฬา”

ไตรกีฬาคืออะไร ทำไมใคร ๆ ก็อยากลอง

“ไตรกีฬา” เป็นประเภทกีฬาชนิดหนึ่งที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกาย ความอึดถึกทนทานของทั้งพลังแรงกายและพลังแรงใจ เพราะเป็นกีฬาที่ผนวกเอา 3 ชนิดกีฬาเข้าไว้ด้วยกัน ประกอบด้วยกีฬาว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่งมาราธอน โดยระยะทางของการแข่งขันนั้นประกอบไปด้วย 4 ระยะ ได้แก่

  • ระยะ Sprint (ว่ายน้ำ 750 เมตร ปั่นจักรยาน 20 กิโลเมตร และ มาราธอนระยะ 5 กิโลเมตร)
  • ระยะ Standard (ว่ายน้ำ 1.5 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 40 กิโลเมตร และ มาราธอนระยะ 10 กิโลเมตร)
  • ระยะ Half (ว่ายน้ำ 1.9 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 90 กิโลเมตร และ มาราธอนระยะ 21 กิโลเมตร)
  • ระยะ Full (ว่ายน้ำ 3.8 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 180 กิโลเมตร และ มาราธอนระยะ 42 กิโลเมตร)

ซึ่งบอกเลยว่าการฝึกซ้อมไตรกีฬานั้นการมีพื้นฐานเป็นนักวิ่งมาราธอนมาแล้วมีประโยชน์และได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างแน่นอน เราไปดูกันดีกว่าว่าข้อควรรู้สำหรับการเตรียมตัวเพื่อลงแข่งไตรกีฬาแรกเขาทำกันอย่างไรบ้าง

เตรียมตัวลงแข่งไตรกีฬาแรกสำหรับมือใหม่ทำอย่างไรไปดู

  • สำรวจตัวเอง รู้เขาต้องอย่าลืมรู้เรา แน่นอนว่าการจะแข่งไตรกีฬาได้นั้น มือใหม่ต้องสำรวจตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าตัวเองนั้นสามารถเล่นกีฬาได้ทั้ง 3 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่งมาราธอน ซึ่งแน่นอนว่าแค่เล่นได้ก็คงไม่เพียงพอ แต่ควรทำได้ดีในระดับหนึ่ง และเมื่อทราบแล้วว่าตนเองยังทำได้ไม่ดีในด้านใดก็หมั่นฝึกซ้อมฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญเพิ่มมากขึ้น
  • ตั้งเป้าหมาย การฝึกซ้อมหากทำเลื่อนลอยไร้ซึ่งการวัดผล การฝึกซ้อมนั้นก็อาจจะเปล่าประโยชน์ก็เป็นได้ ดังนั้นควรมีการตั้งเป้าหมายในการฝึกซ้อมทุกครั้งและพยายามเตรียมตัว และฝึกฝนพัฒนาเพื่อให้การฝึกซ้อมเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • วินัยเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าหากเขียนเป้าหมายไว้เฉย ๆ แต่ไม่ลงมือทำก็ยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ดังนั้นเป้าหมายมีไว้พุ่งชน จงลุกขึ้นมาฝึกซ้อมให้มีความสม่ำเสมอเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการลงแข่งขันไตรกีฬาครั้งแรกกันเถอะ
  • อุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง การแข่งไตรกีฬาอุปกรณ์หลัก ๆ ก็คือชุดกีฬา รองเท้า จักรยาน และอุปกรณ์ยังชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระบอกน้ำดื่ม อาหารเพิ่มพลังงานระหว่างการแข่งขัน นอกจากนี้ยังอาจจะมีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น หมวก กระเป๋า เป็นต้น ควรเลือกที่ใช้งานได้ดี และทนทาน เหมาะกับผู้สวมใส่ เพราะคงไม่มีใครอยากมาเหนื่อยและหัวเสียกับอุปกรณ์ที่ไม่ดีระหว่างการแข่งขันอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ไตรกีฬาไม่ใช่กีฬาง่าย ๆ ที่ใครจะเล่นก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่กีฬาที่ยากเกินไป หากมีความตั้งใจจริง และมีการเตรียมพร้อมร่างกายมาแล้วเป็นอย่างดี ยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้มือใหม่ไตรกีฬาทุกคนโชคดีและประสบความสำเร็จพิชิตไตรกีฬาครั้งแรกให้ได้สักครั้ง

post

5 วิธีจูงใจตัวเองให้อยากออกวิ่งในทุก ๆ วัน

การออกกำลังกายเป็นสิ่งดีดีที่ควรทำใคร ๆ ก็ทราบกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการออกกำลังกายด้วยการวิ่งนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่รองเท้าวิ่งคู่เดียวก็สามารถช่วยให้เราท่านสามารถที่จะออกกำลังกายเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันได้แล้ว แต่เรื่องแบบนี้สำหรับคนที่มีวินัยก็อาจจะดูเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายกับการแค่หยิบรองเท้าแล้วออกวิ่ง แต่สำหรับคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด วันนี้เราจึงนำเอา 5 วิธีจูงใจตัวเองให้อยากออกวิ่งในทุก ๆ วันมาฝากกัน

1.จูงใจตัวเองด้วยรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ รองเท้าวิ่งสวย ๆ ใส่สบายสักคู่ดูจะเป็นอะไรที่สามารถใช้เป็นตัวช่วยให้ทุกคนอยากออกวิ่งในทุกวันได้เป็นอย่างดี ยิ่งรองเท้านั้นมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วย Support เท้าของผู้วิ่งด้วยแล้วยิ่งน่าสนใจไม่น้อย

2.วิ่งคนเดียวถ้ายากนักก็หาเพื่อนมาช่วยกันวิ่ง เป็นธรรมดาที่การทำอะไรก็ตามหากทำคนเดียวก็อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกันได้ง่าย ๆ แต่หากมีเพื่อนมาร่วมทำด้วยกันก็คงจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้ไม่น้อยทีเดียว Hashtag การวิ่งก็เช่นกัน เพราะการได้ออกไปวิ่งกับใครซักคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน หรือคนในครอบครัวนอกจากจะได้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีอีกวิธีหนึ่งด้วย

3.เป้าหมายมีไว้พุ่งชน แน่นอนว่าเป้าหมายสูงสุดของการออกไปวิ่งให้ได้ทุกวันก็คือการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง แต่ก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกันที่เป้าหมายระยะยาวเช่นนั้นจะไม่ค่อยดึงดูดใจคนที่ไม่ค่อยมีวินัยเท่าที่ควรนัก ดังนั้นการหาเป้าหมายระยะสั้นอย่างเช่นการเข้าแข่งขันรายการวิ่งซักหนึ่งรายการก็ดูจะเป็นวิธีจูงใจที่ดีอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็มีนักวิ่งมืออาชีพหลายคนเช่นกันที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแค่อยากลองวิ่งให้จบซักหนึ่งรายการ แต่พอได้ลิ้มลองรสชาติของความสำเร็จที่เส้นชัยและเหรียญรางวัลก็อดที่จะติดใจความรู้สึกนั้นจนพัฒนามาเป็นกิจวัตรประจำวันที่จะต้องซ้อมวิ่งในทุก ๆ วันไม่ได้

4.การวัดผลช่วยได้จริง อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าในปัจจุบันจะมีแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่นักวิ่งสามารถใช้เพื่อเก็บสถิติการวิ่งต่าง ๆ ในแต่ละครั้งเอาไว้ได้ ข้อดีของแอปพลิเคชันเหล่านี้ก็คือทำให้เราสามารถเห็นถึงพัฒนาการในการวิ่งของตนเองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการเก็บบันทึกไว้เป็นไดอารี่การวิ่งส่วนตัวได้อีกด้วย

5.ใช้สังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นหากเราต้องการแรงขับเคลื่อนบางอย่างเช่นการออกวิ่งให้ได้ทุกวันนั้น บางครั้งการประกาศความตั้งใจลงโซเชียลมีเดีย หรือเล่นทายผลการแข่งขันกีฬาประเภทกรีฑากับ Fun88 ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้เราสามารถทำอย่างที่ตั้งใจได้ เพราะการมีสายตาสังคมจับจ้องจะทำให้เราอยากที่จะทำสิ่งที่ได้ประกาศไว้ให้สำเร็จเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 5 วิธีจูงใจตัวเองให้อยากออกกำลังกายด้วยการออกวิ่งในทุก ๆ วัน หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

post

รู้หรือไม่ ประโยชน์อะไรบ้างที่คุณจะได้จากการวิ่ง

วิ่งหรือไม่วิ่ง วิ่งหรือไม่วิ่งดี? คำถามที่ใครหลายคนอาจจะเถียงกับตัวเองอยู่ในใจอยู่ในทุกวัน ๆ ที่ต้องตัดสินใจว่าจะเอาชนะความขี้เกียจเพื่อออกไปวิ่งดี หรือว่าจะพ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจของตัวเองกันแน่ บทความนี้จะนำเอาประโยชน์ที่คุณจะได้จากการออกวิ่งมาฝากกัน เผื่อว่าครั้งหน้าหากคุณเกิดลังเลอีกว่าจะวิ่งหรือไม่วิ่งดี จะได้มีตัวช่วยไว้ฮึบ ๆ ให้สามารถออกวิ่งเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของตัวเองได้ง่ายขึ้น ไปดูกันเลย..

1.สุขภาพที่แข็งแรงเริ่มต้นง่าย ๆ จากการวิ่ง หลายคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าที่เขาว่ากันว่าวิ่งแล้วจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงนั้นมันเป็นอย่างไร ง่าย ๆ ก็คือการวิ่งอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป จะช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีและแข็งแรงมากขึ้น การทำงานของปอดดีขึ้น เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลที่จะอุดตันในเส้นเลือดลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

2.เพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยการวิ่ง สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจในตัวเอง กล่าวคือมี self-esteem ต่ำ อาจจะใช้การวิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเองได้ เพราะในทุกครั้งที่ออกวิ่งและสามารถบรรลุเป้าหมายระยะทางหรือเวลาที่ใช้ในการวิ่งได้ จะช่วยทำให้ความเชื่อมั่น และความมั่นใจในตัวเองค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เพราะความรู้สึกเอาชนะใจตัวเอง และความสุขที่ได้จากการทำอะไรประสบความสำเร็จแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการวิ่งนี้เองที่จะช่วยให้ self-esteem ในตัวเรามีเพิ่มมากขึ้นได้นั่นเอง

3. ลดเครียดได้แค่ออกวิ่ง อย่างที่ทราบกันดีว่าหลังออกกำลังกายร่างกายจะหลั่งสารเคมีอย่าง Endorphins หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสารแห่งความสุข ที่จะสามารถช่วยลดความตึงเครียดของร่างกายลงได้ ซึ่งอาการเครียดนั้นเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งความเครียดที่มีมากเกินไปก็อาจจะไปรบกวนการนอนของเราให้มีคุณภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทำให้ร่างกายไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายให้กลับมาแข็งแรงใช้งานได้ดีดังเดิมอีกด้วย

4. การวิ่งช่วยให้หุ่นดีได้ เชื่อหรือไม่ว่าการวิ่งเป็นออกกำลังกายที่นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นการเผาผลาญพลังงานได้ดีอีกวิธีหนึ่งด้วย เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหลายคนอาจจะประสบกับปัญหาที่ว่ารับประทานนิดเดียวก็อ้วนง่ายแล้ว เนื่องจากระบบเผาผลาญที่เคยทำงานได้ดีเริ่มเสื่อมลงนั่นเอง แต่การวิ่งจะช่วยให้ปัญหานี้ลดน้อยลงได้เป็นอย่างดี

เป็นอย่างไรกันบ้างกับประโยชน์ของการวิ่งที่นำมาฝากกัน หลายเรื่องก็อาจจะเป็นที่ทราบกันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยสำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยทราบมาก่อนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้เป็นแรงจูงใจในการวิ่งที่ดีได้ในครั้งต่อ ๆ ไป

post

มาราธอนดีอย่างไรในความคิดของนิ้วกลม

หากเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของ เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ใครหลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าเขาคนนี้เป็นใคร แต่หากเอ่ยนามปากกาของเขาที่มีชื่อว่า “ นิ้วกลม” เชื่อแน่ว่านักอ่านตัวยงทั้งหลายจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี หรือกระทั่งคนที่ชอบวิ่งและอยู่ในวงการวิ่งประเภทมาราธอนก็อาจจะรู้จักดีเช่นเดียวกันก็เป็นได้ เพราะนอกจากนิ้วกลมจะเป็นนักเขียนชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นแล้ว เขายังเป็นไอดอลในเรื่องของการวิ่งมาราธอนอีกด้วย โดยนิ้วกลมเกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เป็นบุตรคนเล็กจากบรรดาพี่น้องสามคนในครอบครัวของเขา

นิ้วกลมเป็นนามปากกาที่เขาได้มาอย่างบังเอิญเมื่อครั้งเป็นนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยหลังจากที่เรียนจบไม่นาน นิ้วกลมก็โลดแล่นอยู่ในสาขาอาชีพต่าง ๆ มากมาย อาทิ งานครีเอทีฟโฆษณา งานผู้กำกับโฆษณา งานนักเขียน งานพิธีกร โดยผลงานแรก ๆ ที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างในวงการนักเขียนก็คือ “โตเกียวไม่มีขา” และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของนักเขียนหนุ่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนในเวลาต่อมา

ว่ากันด้วยเรื่องหนังสือ Homo Finishers : สายพันธุ์เข้าเส้นชัย

อย่างที่เกริ่นกันไปแล้วในตอนต้นว่านิ้วกลมนั้นหลงใหลการวิ่งมาราธอนเป็นชีวิตจิตใจ แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่เขาจะหันมาสนใจกีฬาวิ่งประเภทนี้นั้น นิ้วกลมเป็นคนที่ไม่เคยแม้แต่จะชอบการวิ่งมาก่อน แล้วอะไรที่ทำให้เขาหันมาชื่นชอบการวิ่งมาราธอนจนถึงขั้นเขียนหนังสือที่มีความยาวถึง 456 หน้า โดยใช้ชื่อว่า “Homo Finishers : สายพันธุ์เข้าเส้นชัย” ได้นั้น คงเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ต่างหาก

Homo Finishers : สายพันธุ์เข้าเส้นชัย เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการเล่าเรื่องราวของขั้นตอนกระบวนการตั้งแต่การหัดวิ่งเพื่อไปมาราธอน ตลอดจนกระทั่งวิ่งเข้าเส้นชัย ความรู้สึกระหว่างทางทั้งก่อนและหลังเข้าเส้นชัย สิ่งที่ได้จากการวิ่งมาราธอนคืออะไร ซึ่งมากกว่าแนวทางในการฝึกซ้อม คือข้อคิดที่ได้จากตัวอักษรของนิ้วกลม ที่ไม่เพียงใช้ได้กับการซ้อมวิ่งเพื่อไปมาราธอนเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตได้อีกด้วย

โดยนิ้วกลมกล่าวว่ามาราธอนช่วยทำให้คุณสมบัติหรือนิสัยที่เราทุกคนรู้ว่าดีนั้นเกิดขึ้นได้จริงกับตัวเราผ่านการปฏิบัติ ผ่านการลงมือทำในทุก ๆ วัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการซ้อมวิ่ง เป้าหมายต่าง ๆ ที่ถูกตั้งขึ้นในแต่ละวันของการฝึกซ้อม ความมีวินัย ความอดทน การกัดไม่ปล่อย ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ได้จากการซ้อมวิ่งมาราธอน ซึ่งในทางทฤษฎีเราทุกคนรู้ดีว่าคุณสมบัติเหล่านี้ก็สำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จในชีวิตในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน

เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรยากแค่ไหน ก็แค่เดินหน้าไปเรื่อย ๆ” เฉกเช่นเดียวกันกับการวิ่งมาราธอนที่ต่อให้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่หากเราไม่หยุดเดิน ไม่นานเราก็จะถึงเส้นชัยในไม่ช้า

สำหรับใครก็ตามที่กำลังหาแรงบันดาลใจในการที่จะจบมาราธอนของตัวเองให้ได้ซักครั้งในชีวิต เชื่อแน่ว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นแนวทางที่ดีให้กับท่านได้ แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าทฤษฎีจะว่าอย่างไร ไม่ว่าประสบการณ์ของคนอื่นจะน่าตื่นเต้นเพียงใด แต่นั่นก็คงไม่มากไปกว่าประสบการณ์ตรงของตัวเราเอง ไม่แน่ว่าหากจบมาราธอนได้สักหนึ่งครั้ง ชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเลยก็ได้ใครจะรู้

post

เรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองก่อนการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง

การออกกำลังกาย ถือเป็นกิจกรรมที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยให้ความสนใจ เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนหันมานิยมให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกายกันเพิ่มมากขึ้น ด้วยปัญหามลพิษ และโรคภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการวิ่งก็ถือเป็นกิจกรรมการออกำลังกายประเภทหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องรอใครมาออกด้วยกัน สามารถที่จะวิ่งได้เลยด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งในร่มหรือกลางแจ้ง ดังนั้นหากใครที่กำลังเริ่มต้นวิ่ง หรือเพิ่งจะเข้าวงการนี้มา สิ่งที่ควรจะต้องรู้เป็นอันดับต้น ๆ ก็คือวิธีการดูแลร่างกายตนเองทั้งก่อนและหลังการวิ่ง ว่าควรจะต้องมีวิธีการอย่างไรบ้าง ซึ่งในบทความนี้เราก็มีวิธีการดูแลตัวเองก่อนการวิ่งมาฝากกันด้วย

วิธีดูการแลตัวเองก่อนการวิ่ง ทำอย่างไรไปดู

              ขึ้นชื่อว่าการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ การวิ่งเพื่อเป็นการฝึกซ้อมร่างกายเพื่อไปแข่งตามรายการแข่งขันต่าง ๆ ทั้งระยะใกล้ หรือระยะไกล การดูและตัวเอง และการเตรียมร่างกายตนเองให้พร้อมก่อนการวิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากนักวิ่งท่านใดที่เตรียมพร้อมร่างกายไม่มากพอแล้วนั้น อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บขึ้นได้ ซึ่งนั่นอาจจะผลเสียต่อสุขภาพร่างกายมากกว่าผลดีในระยะยาวก็เป็นได้ ดังนั้นเราไปดูกันดีกว่าว่าเราจะสามารถทำอะไรอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของเราพร้อมแล้วสำหรับการออกวิ่ง

  1. การเลือกอุปกรณ์ที่ใช้ในการวิ่งที่จำเป็นให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น การเลือกรูปแบบของรองเท้าให้เหมาะสมกับลักษณะของเท้าตนเอง เพราะแน่นอนว่าการวิ่งไม่ได้ใช้อะไรมากไปกว่ารองเท้าสำหรับใส่วิ่ง ที่สามารถช่วยป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้กับเท้าของเรา และที่สำคัญ คือ สามารถช่วยลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้นขณะวิ่งต่อข้อเท้า และข้อเข่าของเรานั่นเอง ดังนั้น การเลือกรองเท้าจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่นักวิ่งควรให้ความใส่ใจ
  2. การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อันที่จริงเรื่องโภชนาการเป็นเรื่องที่สำคัญมากอยู่แล้วสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับนักวิ่งนั้น นอกจากการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าสารอาหารสูงในทุก ๆ วันแล้วนั้น ในวันที่ต้องมีการแข่งวิ่งจริง ๆ ก็ควรที่จะรับประทานอาหารก่อนวิ่งอย่างน้อยซัก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายสามารถนำพลังงานที่ได้จากอาหารนั้น ๆ ไปเป็นแรงขับเคลื่อนในการวิ่ง ยกตัวอย่างอาหารที่ควรรับประทานก่อนวิ่ง ได้แก่ กล้วยหอม เพราะหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่ากล้วยหอมนั้นเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงแถมกินเข้าไปแล้วยังไม่รู้สึกแน่นท้องเหมือนอาหารประเภทอื่น ๆ อีกด้วย
  3. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนการวิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเปรียบเหมือนการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวและพร้อมสำหรับการออกกำลังกาย นอกจากนี้ประโยชน์ของการยืดกล้ามเนื้อมีด้วยกันหลายประการ เช่น ช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บได้ อีกอย่างหากมีการวอร์มร่างกายเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อในส่วนที่ได้ออกแรงไปนั้นฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย แม้แต่การนั่งเล่นเกมที่ VWIN ก็ตาม เราแนะนำให้คุณควรหาจังหวะลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกายดูบ้างเช่นกัน
  4. การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ คงไม่ดีแน่ ๆ หากพาร่างกายที่ยังพักซ่อมแซมได้ไม่เต็มที่ไปออกกำลังกายที่ต้องใช้พละกำลังค่อนข้างมาก เพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าการไม่ออกกำลังกายเสียอีก
  5. การเตรียมจิตใจให้พร้อม เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการวิ่งไม่ว่าจะเป็นระยะทางใกล้ หรือไกล ต่างก็ต้องใช้ความมานะอุตสาหะในการที่จะไปให้ถึงยังจุดหมายปลายทางด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเตรียมใจให้พร้อม ให้มั่นใจว่าเราจะเป็นหนึ่งในคนที่เข้าเส้นชัยได้อย่างแน่นอน

              เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับวิธีการดูแลตัวเองในแบบต่าง ๆ ก่อนการวิ่ง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักวิ่งหน้าใหม่ ๆ ยังมีแรงและกำลังใจที่ยังอยากจะวิ่งกันต่อไป เพราะการออกกำลังกายนั้น เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์แน่นอนหากทำอย่างถูกต้อง และถูกวิธี

post

รู้หรือไม่ “มาราธอน” มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

กระแสการออกกำลังกายด้วยการวิ่งกำลังมาแรงมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้มีการจัดกิจกรรมวิ่งการกุศลจากพื้นที่จังหวัดยะลาดินแดนใต้สุดของประเทศไทย ไปจนถึงจังหวัดในพื้นที่เหนือสุดแดนสยามอย่างเชียงราย โดยรวมระยะทางวิ่งทั้งหมดประมาณกว่า 2,191 กิโลเมตร ในโครงการที่มีชื่อว่า “ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” เพื่อหาเงินบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศนั่นเอง ซึ่งแกนนำหลักที่เป็นตัวตั้งตัวตีทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นมา ก็คือ “นายอาทิวราห์ คงมาลัย” หรือ “ตูน บอดี้แสลม” นักร้องเพลงร็อคชื่อดังระดับแถวหน้าของประเทศไทย และจากกระแสของโครงการนี้นี่เองที่ทำให้การวิ่งมาราธอนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่เพื่อน ๆ รู้กันหรือไม่ว่า “มาราธอน” นั้น จริง ๆ แล้วมีประวัติความเป็นมา ที่ไปที่มาเป็นอย่างไร

ตำนาน “มาราธอน” ก่อกำเนิดขึ้นจากสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย

มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของมาราธอนอย่างแพร่หลายว่ากว่าเมื่อ 2,500 ปีก่อน ในสมัยที่เกิดสงครามระหว่างกองทัพกรีกกับเปอร์เซีย ณ พื้นที่ทุ่งมาราธอนนั้น ได้มีนายทหารคนหนึ่งของกองทัพกรีกซึ่งมีชื่อว่า
ฟีร์ดิปปิเดซ (Pheidippides) ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองกรีกที่กรุงเอเธนส์ให้ทราบถึงชัยชนะที่กองทัพกรีกมีเหนือกองทัพเปอร์เซีย ทั้งยังต้องการส่งข่าวให้ชาวเมืองคอยระแวดระวังทหารของกองทัพเรือเปอร์เซียเพิ่มเติม เพื่อความไม่ประมาทอีกด้วย แต่เนื่องจากระยะทางจากทุ่งมาราธอนมาถึงเมืองเอเธนส์นั้นค่อนข้างไกลมากสำหรับการวิ่งอย่างยาวนานโดยไม่ได้พักเลยประมาณ 40 กิโลเมตร (24.85 ไมล์) ทำให้ทหารผู้ทำหน้าที่ส่งข่าวถึงแก่ความตายทันทีหลังจากที่เขาได้ประกาศข่าวแก่ชาวเมืองว่า “เราชนะแล้ว”

แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกผู้หนึ่งที่มีนามว่า เฮโรโดตัส (Herodotus) ได้ให้ข้อมูลอีกแบบหนึ่งว่า ฟีร์ดิปปิเดซมิได้เดินทางจากทุ่งมาราธอนไปกรุงเอเธนส์เพื่อประกาศชัยชนะแต่อย่างใด แต่เขาได้วิ่งจากกรุงเอเธนส์เพื่อไปขอความช่วยเหลือทางด้านกองกำลังจากสปาร์ตาต่างหาก และระยะทางวิ่งไปกลับก็ประมาณ 240 กิโลเมตรเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากแหล่งอื่นที่กล่าวกันว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าวนั้นแท้จริงแล้วมีชื่อว่า “ฟีร์ลิปปิเดซ (Philippides)” ต่างหาก แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าประวัติความเป็นมาที่ถูกต้องตามความเป็นจริงนั้นจะเป็นอย่างไร แต่นี่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของกีฬาวิ่งประเภท “มาราธอน” ในปัจจุบัน

จากประวัติความเป็นมาดังกล่าว นี่จึงเป็นที่มาของสาเหตุหลักสำคัญที่นักกีฬาที่จะทำการลงแข่งขันวิ่งมาราธอน จะต้องมีการเตรียมพร้อมร่างกายตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่การซ้อมวิ่งในแต่ละวันก่อนการแข่งขันเพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสำหรับมาราธอนเท่านั้น แต่ในเรื่องของการเตรียมตัวในด้านโภชนาการอาหารการกินก็จำเป็นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ระหว่างการวิ่งมาราธอนจะต้องมีการพักดื่มน้ำบ้างเป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้า หรือขาดน้ำมากเกินไป จนส่งผลอันตรายต่อร่างกายร้ายแรงได้นั่นเอง

post

แนะนำวิธีวิ่งอย่างไรไม่ให้มีอาการปวดเข่า

ว่ากันว่าเหรียญมักมีสองด้านเสมอ เรื่องทุกเรื่องในชีวิตคนเราก็เช่นกัน โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงด้านที่ไม่ดีของการออกกำลังกายด้วยการวิ่งกันบ้าง ซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้กันดีว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และช่วยลดความเครียดที่อาจจะเกิดจากปัญหาการทำงานหรือปัญหาชีวิตต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอในแต่ละวันของการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี แต่หากออกกำลังกายอย่างไม่ระมัดระวังหรือหักโหมร่างกายมากเกินไป ฝืนใช้ร่างกายขณะที่ไม่มีความพร้อมก็จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บขึ้นได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่เมื่อเริ่มฝึกวิ่งใหม่ ๆ อาจจะวิ่งผิดวิธีทำให้มีอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าได้ แล้วหากถามว่าอาการบาดเจ็บหรือปวดหัวเข่าที่เกิดจากการวิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดอาการดังกล่าวกันก่อนดังนี้

สาเหตุและที่มาของอาการปวดเข่า

อาการปวดเข่าที่เกิดจากการวิ่งส่วนมากมีสาเหตุมาจากการที่ข้อต่อบริเวณที่เชื่อมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งนั้นรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกที่มากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาการปวดเข่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ และเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิง เนื่องจากเพศหญิงจะมีข้อจำกัดในเรื่องของความกว้างของสะโพกที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย เพราะต้องมีพื้นที่เผื่อไว้สำหรับการคลอดลูก ทำให้ส่งผลในเรื่องของระบบการทรงตัวบริเวณหัวเข่าที่ทำได้ดีไม่เท่าผู้ชายนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามอาการปวดเข่าสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหรือลดความรุนแรงลงได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

3 วิธีวิ่งอย่างไรให้ลดอาการปวดเข่า

1.การยืดกล้ามเนื้อและการวอร์มร่างกายก่อนและหลังการออกวิ่งทุกครั้ง เนื่องจากการยืดเหยียดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังการวิ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อปรับตัวเพื่อช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนเลือดได้ดีเพิ่มยิ่งขึ้น ยิ่งเลือดหมุนเวียนได้ดีเท่าไร ก็จะช่วยลดอาการบาดเจ็บ ปวดเมื่อยที่อาจจะเกิดจากการออกกำลังกายไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

2.ควรเลือกรองเท้าที่ใช้สำหรับการวิ่งให้เหมาะสมกับตนเอง เนื่องจากรูปทรงเท้าของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน อีกทั้งรูปแบบรองเท้าที่ถูกผลิตออกมานั้นก็เหมาะสมกับเท้าแต่ละแบบไม่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานจะต้องรู้จักเท้าของตัวเองให้ดีว่ามีลักษณะเป็นแบบไหน เพื่อที่จะได้สามารถเลือกซื้อรองเท้าวิ่งสำหรับเอาไว้ใช้งานให้เหมาะสมมากที่สุด เพราะเชื่อเหลือเกินว่าอุปกรณ์ที่ดีจะช่วย Support เท้าของเพื่อน ๆ ให้สามารถวิ่งได้ดีและช่วยลดอาการบาดเจ็บหัวเข่าที่อาจจะเกิดจากการกระแทกได้ดีตามไปด้วย

3.ไม่ควรวิ่งโดยก้าวเท้ายาวมากเกินไป เพราะจะทำให้หัวเข่าทำงานหนักโดยที่ไม่จำเป็น และไม่ควรยกเท้าสูงมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแรงกระแทกเพิ่มมากขึ้นได้นั่นเอง อีกทั้งควรเลือกวิ่งในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ขรุขระมากเกินไปนัก

อย่างไรก็ตามหากเพื่อน ๆ คนไหนที่นำวิธีการเหล่านี้ไปใช้แล้ว แต่ยังมีอาการปวดเข่าเรื้อรังไม่หาย คำแนะนำที่ดีที่สุดคือควรไปให้แพทย์วินิจฉัยให้เร็วที่สุด เพราะคงจะเป็นการเสียความรู้สึกไม่น้อยหากว่าเพื่อน ๆ เป็นคนที่รักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจแต่ไม่สามารถออกกำลังกายด้วยการวิ่งได้อีกต่อไป

post

เปิดประวัติ “เอลิอุด คิปโชเก้” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการมาราธอน

เชื่อเหลือเกินว่าคอกีฬาที่ชอบเชียร์กีฬาวิ่งอย่างมาราธอน จะต้องเคยติดตามรายการแข่งขันวิ่งระดับโลกอย่างการแข่งขันมาราธอนในงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาแล้วไม่มากก็น้อย และหากเป็นคนที่ติดตามรายการแข่งขันนี้มาแล้วเป็นอย่างดีจริง ๆ จะต้องรู้จักกับนักวิ่งชาวเคนยาที่มีชื่อว่า “เอลิอุด คิปโชเก้” กันอย่างแน่นอน ซึ่งชายผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้ เพราะเขาคือผู้ชนะจากการแข่งขันวิ่งมาราธอนในงานโอลิมปิกเกมส์ที่ถูกจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ในนครรีโอเดจาเนโร เมื่อปี ค.ศ.2016 นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของสถิติการวิ่งมาราธอนที่ดีที่สุดในโลกด้วยระยะเวลาที่เขาใช้วิ่งในระยะทาง 42.195 กิโลเมตร เพียง 1 ชั่วโมง 59 นาที 40.2 วินาที ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่เส้นชัยในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.2019  ซึ่งเป็นสถิติใหม่ที่ลบความเชื่อของชาวโลกที่ว่าคนทั่วไปจะสามารถจบระยะมาราธอนได้โดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับชายคนนี้กันให้มากขึ้น

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “เอลิอุด คิปโชเก้”

เอลิอุด คิปโชเก้ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1985 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศเคนยา เขาเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวพร้อม ๆ กับพี่สาว 2 คนและพี่ชายอีก 2 คน ของเขา เนื่องจากพ่อของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก ในวัยเด็กคิปโชเก้ ต้องวิ่งจากบ้านไปกลับโรงเรียนเป็นระยะทาง 5 – 6 กิโลเมตร ทุกวัน โดยคำพูดหนึ่งของเขาที่อาจจุดประกายให้ใครหลาย ๆ คนเห็นถึงคุณค่าความสำคัญของเวลา ก็คือ “เวลามีจำกัด ดังนั้นถ้าคุณไม่วิ่ง เวลาก็มีไม่พอ” เขาเคยแม้กระทั่งรับจ้างวิ่งส่งนมจากชาวบ้านเพื่อไปขายในเมืองที่ห่างออกไปกว่า 20 กิโลเมตร และด้วยกิจวัตรแบบนั้นของเขา ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ

คิปโชเก้เป็นคนที่มักจะมีเป้าหมายให้กับตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นทันทีที่เขาเก็บเงินได้มากพอที่จะซื้อรองเท้าสำหรับฝึกวิ่ง เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำ เขาฝึกทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับการวิ่งด้วยตนเองทั้งหมดโดยปราศจากคำแนะนำจากโค้ชมืออาชีพใด  ๆ และแน่นอนว่าด้วยข้อจำกัดในเรื่องของพื้นฐานการฝึกซ้อมที่อาจมีไม่มากเพียงพอ ทำให้ผลการแข่งขันวิ่งระดับประเทศครั้งแรกของเขาไม่เป็นไปอย่างที่เขาหวัง แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ คิปโชเก้ตระหนักดีว่าเขาต้องแก้ที่วิธีฝึกซ้อมของเขาให้ถูกต้องตามหลักการพื้นฐานมากยิ่งขึ้น

และเมื่อเขาฝึกซ้อมได้จริงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ความสำเร็จครั้งแรกของเขาก็เกิดขึ้น คือเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งทั้งหมดได้อย่างขาดลอยในงานแข่งขันวิ่งระยะ 10 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ.2001 และในการแข่งขันครั้งนี้เองที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เพราะคิปโชเก้ได้มีโอกาสรู้จักกับชายผู้เป็นเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของเขา และชายผู้นั้น ก็คือ “แพทริก แซง” ชายผู้เป็นหนึ่งในตำนานนักวิ่งคนหนึ่งของประเทศเคนยา โดยแซงได้สอนทุกอย่างที่จะช่วยทำให้คิปโชเก้แสดงความสามารถของเขาออกมาได้มากที่สุด และคิปโชเก้ก็ไม่ทำให้แซงผิดหวัง เพราะพรสวรรค์ของเขาเปรียบเสมือนดังเพชรที่รอการเจียรไนให้ส่องประกายสว่างให้คนทั่วโลกได้เห็นนั่นเอง

สุดท้ายแล้วที่สุดของความสำเร็จของคิปโชเก้ ก็คือ การที่เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักวิ่งคนแรกของโลกที่สามารถจบระยะฟูลมาราธอนได้ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงนั่นเอง นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดทั้งของตัวเขาเองและของโลกใบนี้เลยทีเดียว และเชื่อเหลือเกินว่าหากใครมีโอกาสได้ศึกษาประวัติชีวิตของคิปโชเก้อย่างละเอียดมากขึ้น จะต้องได้รับแง่คิดดีดี และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตจากชายผู้นี้เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน